วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง (คริสต์ศตวรรษที่ 5 - 16 ) ประกอบไปด้วย
1.หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa)
          หอเอนแห่งเมืองปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ประเทศอิตาลี เป็นหอคอยหินอ่อนที่พิศดาร สูง 54 เมตร ( 181 ฟุต) มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตรรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ. 1717 (ค.ศ. 1174) ไปเสร็จในปี พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) ใช้เวลานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก
          ความน่ามหัศจรรย์อีกอย่าง คือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5 ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกับพังทลายลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ เมื่อสร้างเสร็จ ยอดของหอเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 4 เมตร ( 14 ฟุต) และหอเอนนี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของเทหวัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง
2.เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง (Porcelain Tower of Nanjing)
          เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง ตั้งอยู่ที่เมืองนานกิง ประเทศจีน เป็นเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม สูง 9 ชั้น สูง 60 เมตร มีระฆัง 152 ลูกและโคมไฟอีกหลายร้อยผูกแขวนไว้ตามชายคาเวลาลมพัดมีเสียงดังไพเราะมาก จักรพรรดิยุ่งโล้ได้จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์เพื่อระลึกคุณมารดา เมื่อระหว่างปี ค.ศ. 1413-1442 กล่าวกันว่าบนยอดเจดีย์มีลูกบอลทำด้วยทองติดอยู่มีเหล็กวงแหวนล้อมรอบถึง 9 วง มีไข่มุกขนาดใหญ่ 5 เม็ดอยู่ที่ปลายเป็นเครื่องรางบอกความมีโชคชัยของกรุงนานกิง
          แต่เป็นที่น่าเสียดายที่บางส่วนถูกพวกกบฏไท้ผิง ทำลายเมื่อปี พ.ศ. 2396 (ค.ศ. 1853) เสียหายมากถึงกระนั้นก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ทำด้วยกระเบื้องเคลือบวิจิตรงดงามมีค่าสูงยิ่ง 

3.สนามกีฬากรุงโรม (Colosseum of Rome)

       สนามกีฬากลางแจ้งที่ใหญ่โตที่สุดในสมัยโบราณตั้งอยู่ที่กรุงโรมประเทศอิตาลีพระเจ้าเวชเปเซียนทรงโปรดให้สร้างขึ้นในราว ค.ศ. 72 - ค.ศ. 80 สถานที่แห่งนี้พระเจ้าเวชเปเซียนเสด็จมาประทับทอดพระเนตรการแสดงกีฬาต่างๆในสมัยโบราณ ตัวสนามสร้างเป็นวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้นจุคนดูประมาณ 80,000 คน มีห้องใต้ดินสำหรับขังนักโทษ และสิงโตหลายร้อยห้อง
           สนามกีฬากรุงโรมใช้เป็นสถานที่แสดงกีฬา ประลองฝีมือ ในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง และบรรดาเหล่านักโทษ ให้ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมาก ปีๆหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน

4.กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China)
          กำแพงเมืองจีน เป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วง ๆ ของจีนสมัยโบราณ กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกฮั่น หรือชนเผ่า ซยงหนู (Xiongnu) ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอารยธรรมจีนในยุคต้นๆ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว (ราว 400 ปีก่อนคริสตกาล) เนื่องจากจะเข้ามารุกรานจีนตามแนวชายแดนทางเหนือ ในสมัยราชวงค์ฉิน จึงได้สั่งให้สร้างกำแพงหมื่นลี้ตามชายแดน เพื่อป้องกันพวก ซยงหนู เข้ามารุกราน และพวกเติร์กจากทางเหนือ หลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน แต่ภายหลังก็มีเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียสามารถบุกฝ่ากำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ
          สำนักงานมรดกวัฒนธรรมแห่งชาติจีน ประกาศเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2555 ว่านักโบราณคดี ได้ตรวจวัดความยาวของ กำแพงเมืองจีน อย่างเป็นทางการนานร่วม 5 ปี ตั้งแต่ 2008-2012 และพบว่ายาวกว่าที่บันทึกไว้เดิมกว่า 2 เท่า หรือ 21,196.18 กิโลเมตร จากเดิม 8,850 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ

5.สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย (Catacombs of Alexandria Egypt)
          สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย เป็นอุโมงค์ที่เก็บศพ และทรัพย์สมบัติของกษัตริย์อียิปต์โบราณ อุโมงค์ฝังศพนี้ มีชื่อเรียกว่า คาตาโคมบ์ (Catacombs) เป็นอุโมงค์ที่สร้างด้วย หินก้อนใหญ่ ๆ และ ขุดลึกลงไปเป็นชั้นๆ บางตอนลึกถึง 21 ถึง 24 เมตร (70-80 ฟุต) มีทางเดินกว้างถึง 1.2 เมตร (3-4 ฟุต) วกไปเวียนมา เป็นระยะทางหลาย ๆ กิโลเมตร
          ตามริมผนังของอุโมงค์เป็นช่อง ๆ ไว้ สำหรับเป็นที่ บรรจุศพ มีแท่นบูชาอยู่หน้าช่องบรรจุศพเหล่านั้น พร้อมตะเกียงดวงเล็กๆ แขวนไว้ บางส่วนของอุโมงค์ตกแต่งทั่ว ๆ ไปไว้อย่างวิจิตรงดงาม ปัจจุบันยังคงมีสภาพสมบูรณ์

6.สุเหร่าฮะเกีย โซเฟีย (Mosque of Hagia Sophia)
          ตั้งอยู่ที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล หรือ เมืองอิสตันบูล ในประเทศตุรกี เป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม สร้างเมื่อ ค.ศ. 532  โดยพระเจ้าจักรพรรดิคอนสแตนตินเพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์แต่ถูกผู้ก่อการร้ายเผาเสียวอดวาย
          จนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียนจึงได้สร้างขึ้นใหม่ เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1453 ในเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ประกอบด้วยเสางามสลักอย่างวิจิตร 108 ต้น (ชั้นบน 68 ต้น ชั้นล่าง 40 ต้น) มียอดเป็นโดมคล้ายซาลาเปามีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลมๆมากมายและประดับประดาด้วยสิ่งของมีค่าอย่างเหลือล้น
          จนถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมหมัดที่ 2 ของตุรกีจึงเปลี่ยนแปลงโบสถ์ให้เป็นสุเหร่าทางศาสนาอิสลาม ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์

7.กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ (Stonehenge)
          กองหินประหลาดนี้อยู่กลางทุ่งนาแห่งเมืองซัลลิสเบอรี มณฑลวิลไซร์ ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ประกอบด้วยแนวหินขนาดมหึมาหินเรียงรายราว ๆ 3 กิโลเมตร และ มีกลุ่มหินใหญ่ประมาณ 112 ก้อน ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งนา เป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อน
          มีผู้สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ในที่นั้นมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลถึง 1,700 ปี เป็นสิ่งก่อสร้างที่โดยไม่มีร่องรอยของความเป็นมา ไม่มีใครทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง, สร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ที่น่าแปลกก็คือ ในบริเวณนั้นเป็นทุ่งกว้าง ไม่มีภูเขาและสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่น ๆ อีกเลย จึงทำให้สงสัยว่าผู้ก่อสร้างนำหินเหล่านั้นมาจากไหน เพราะไม่ปรากฏว่ามีการขน หรือมีสิ่งปรักหักพังในการก่อสร้างในบริเวณนั้น


อ้างอิงจาก
http://www.wonder7th.com/
www.snr.ac.th
th.wikipedia.org/wiki/กำแพงเมืองจีน

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ภาพประทับใจในลัทธิ Impressionism

Impression, Sunrise หรือ ความประทับใจในพระอาทิตย์ยามอรุณ ผลงานของ
โคลด โมเนต์ (Claude Monet) ในปี 1872
Impression Sunrise , Claude Monet , 1872
          Impression,Sunrise เป็นภาพทิวทัศน์ของท่าเรือที่ เลอ อาฟร์ (Le Havre) ในกรุงปารีสของประเทศฝรั่งเศสในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นจากผิวน้ำสีครามท่ามกลางฝูงหมอกที่ก่อตัวอย่างหนาแน่น พร้อมเข้าปกคลุมท้องฟ้ายามเช้าในเขตอุตสาหกรรมแห่งนี้
          หากมองดูเพียงผิวเผิน ภาพนี้อาจดูเหมือนเป็นภาพวิวธรรมดาๆ ดูไม่มีจุดมุ่งหมาย ทุกอย่างดูจางๆ เลอะเลือนเลื่อนลอย แต่หากแต่พิจารณาดีๆจะสังเกตได้ว่าจิตรกรมุ่งเน้นไปยังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องและตกกระทบลงบนผิววัตถุ แล้วสะท้อนกลับมาเป็นภาพแห่งความประทับใจ สมกับชื่อ Impression, Sunrise

อ้างอิงจาก

แหล่งท่องเที่ยวในเมืองหลวงที่ข้าพเจ้าประทับใจ

กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
          กรุงปารีส (Paris) เป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน บริเวณตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส บนใจกลางแคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์ ภายในกรุงปารีสมีประชากรประมาณ 2,167,994 คน เขตเมืองปารีส (Unité urbaine) ซึ่งมีพื้นที่ขยายเกินขอบเขตอำนาจการปกครองของเมืองนั้น มีประชากรกว่า 9.93 ล้าน ในขณะที่เขตมหานครปารีส มีประชากรเกือบ 12 ล้านคน และเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประชากรสูงที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป
          จากการตั้งถิ่นฐานมากว่า 2 พันปี ปัจจุบันกรุงปารีสเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ล้ำสมัยแห่งหนึ่งของโลก และด้วยอิทธิพลของการเมือง การศึกษา บันเทิง สื่อ แฟชั่น วิทยาศาสตร์และศิลปะ ทำให้กรุงปารีสเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังแห่งหนึ่งของโลก โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 30 ล้านคนต่อปี
1. หอไอเฟล (Eiffel Tower)

          หอคอยโครงสร้างเหล็ก สัญลักษณ์แห่งนครปารีส ตั้งอยู่บน Champ de Mars บริเวณแม่น้ำแซน หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย ตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" สูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้นโดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมทัศนียภาพรอบกรุงปารีสได้ เพียงแค่ซื้อบัตรที่บูธซึ่งอยู่บริเวณฐานของหอไอเฟล แล้วขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นต่าง ๆ ของหอไอเฟล
2.อาร์กเดอทรียงฟ์เดอเลตวล (Arc de triomphe de l'Étoile) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ประตูชัยฝรั่งเศส
          เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส แบบของประตูชัยนั้น ฌ็อง ชาลแกร็งเป็นผู้ออกแบบในรูปแบบของศิลปะนีโอคลาสสิก ที่ได้ดัดแปลงมาจากสถาปัตยกรรมโรมันโบราณ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2349 มีความสูง 49.5 เมตร กว้าง 45 เมตร และลึก 22 เมตร สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย
          ประตูชัยฝรั่งเศส ตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกลล์ หรือ จัตุรัสแห่งดวงดาว อยู่ทางทิศตะวันตกของถนนชองป์เซลิเซ่ส์ (Champs Elysees)

3.มหาวิหารนอทเทอร์ดัมแห่งปารีส (Notre-Dame de Paris)
          เป็นมหาวิหารสมัยกอธิค ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส คำว่า Notre Dame แปลว่า พระแม่เจ้าของเรา (Our Lady) ซึ่งเป็นคำที่ชาวคาทอลิกใช้เรียกพระแม่มารี ปัจจุบันมหาวิหารก็ยังใช้เป็นโบสถ์ของคริสตจักรโรมันคาทอลิกและเป็นที่ตั้งอาสนะของอาร์ชบิชอปแห่งปารีส
          มหาวิหารนอทเทอร์ดัมถือกันว่าเป็นโบสถ์ที่สวยงามที่สุดในลักษณะกอธิคแบบฝรั่งเศส โบสถ์นี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยเออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค ผู้เป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศส
4.โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ (Sainte Chapelle)
          ถัดจากมหาวิหารนอทเทอร์ดัม มีโบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ ซึ่งเป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวปารีส สร้างในสไตล์กอธิค มีการประดับประดาด้วยกระจกสวยงามมากมาย จนนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมต่างยอมรับว่ากระจกที่ใช้ตกแต่งโบสถ์มีความงดงามที่สุด ยิ่งเมื่อแสงจากภายนอกส่องเข้ามา ยิ่งทำให้มองเห็นลายกระจกชัดเจนและสวยงามมาก
5.เลแซงวาลิด (Les Invalides (Napoleon's Tomb))
          เป็นอาคารที่มีโดมสวยงาม ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1714 ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพื่อเป็นโรงพยาบาลที่พักทหารที่บาดเจ็บและพิการจากสงครามตั้งแต่ปี ค.ศ. 1670 สร้างโดยสถาปนิก Jules Hardouin Mansart
          ส่วนโดมและวัด สร้างในสมัยนโปเลียนที่ 1 ในปี ค.ศ. 1840 ซึ่งมีศพนายพลพระสหายของพระเจ้านโปเลียนอีกหลายคนฝังอยู่ด้วย ตัวอาคาร มีโดมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นโดมที่สวยงามสุดในกรุงปารีส นอกจากนี้ ยังมีศิลปะมากมายจัดแสดงอยู่ในนั้นอีกด้วย
 


อ้างอิงจาก
th.wikipedia.org/wiki/หอไอเฟล
th.wikipedia.org/wiki/อาร์กเดอทรียงฟ์เดอเลตวล
th.wikipedia.org/wiki/มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส
th.wikipedia.org/wiki/พระราชวังแวร์ซาย
th.wikipedia.org/wiki/ปารีส

Fauvism - Futurism

ศิลปะตะวันตกยุคหลังลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ถึงสงครามโลกครั้งที่ 1
1. Fauvism
          Fauvism หมายถึงลัทธิสัตว์ป่า ศิลปะของลัทธิโฟวิสม์มีสีสันโฉ่งฉ่าง ต่างกับเรอแนสซองส์ที่งามตามหลักสุนทรียภาพเดิม
ศิลปินและผลงาน
          มาทีสส์ (Matisse , Henri 1869-1954) ผลงานสำคัญคือ ภาพ ภาพเปลือยกับลวดลายเบื้องหลัง  ห้องสีแดง มาดามมาทิสส์
          ด้านประติมากรรมของมาทีสส์ ไม่เน้นรายละเอียดแบบโฟวิสม์ ได้แก่ ประติมากรรมชุดข้างหลังผู้หญิง
มาดามมาทิสส์
2. Expressionism
          Expressionism หมายถึง การแสดงออกทางศิลปะ ที่ตัดทอนรูปทรงและสีสันอย่างเสรีที่สุด ตามแรงปรารถนา(ความรู้สึกและอารมณ์ของศิลปิน) คลอบคลุมวรรณกรรม ดนตรี ศิลปะการแสดงปลาย C.19 และต้น C.20
ความเคลื่อนไหวของศิลปะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
1.) ศิลปินกลุ่มสะพาน (The Bridge)
          เป็นการรวมตัวของศิลปินวัยหนุ่ม 20-30ปี สะท้อนความสับสน ความอัปลักษณ์ของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา ความสกปรกของสังคม ความเหลวแหลกโสมม หลอกลวง ใช้สีที่รุนแรง สะท้อนเรื่องราวทางศาสนาด้วยความรู้สึกโหดร้ายน่าขยะแขยงน่าเกลียด ความรัก กามารมณ์และความตายเพื่อเตือนให้สังคมตระหนักถึงความไม่แน่นอน ภาพส่วนใหญ่เน้นแสดงออกทางจิตวิทยามากกว่าความจริง สลายตัวใน ค.ศ. 1913 จากวิกฤติ WW.I
2.) กลุ่มม้าสีน้ำเงิน (The Blue Rider)
          เริ่มเคลื่อนไหว ค.ศ. 1911 ที่มิวนิค แกนนำคือ วาสิลี แคนคินสกี (1866-1944) กับ ฟรอนซ์ มาร์ค (1880-1944) ชื่อลัทธิมาจากความนิยมในการเขียนรูปม้าและคนขี่ม้าของแกนนำทั้ง2 ใช้สีน้ำเงินเป็นหลัก ผ่อนคลายความรู้สึกน่าขยะแขยง ไปเป็นการแสดงออกทางอารมณ์แบบรุนแรงที่แฝงความสนุกสนาน ใช้สี เส้น การแสดงลีลาคล้ายดนตรี สลายตัว 1914 เพราะ WW.I
ศิลปินและผลงาน
          เอ็ดวาร์ด มูงค์ (Edvard Munch 1863-1944) มักปรากฏเรื่องราวของความเจ็บป่วย ความตาย อยู่ในผลงาน ผลงานที่มีชื่อเสียง คือ ภาพ เสียงร้องไห้หรือ “The Cry” เขียนในปี ค.ศ.1893
เสียงร้องไห้ หรือ The Cry
3. Cubism
          ตกแต่งรูปทรงถือหลักการเพิ่มส่วนประกอบเพื่อให้ผลงานสมบูรณ์ คำนึงรูปทรงเปิดและปิด ความตื้นลึก ความกลมกลืนของทัศนธาตุ นำเอาวัสดุจริงมาปะติดกัน
ศิลปินและผลงาน
          ปาโบล ปิคัสโซ่ (Pablo Picasso 1881-1973) เริ่มจากทำงานตามแบบแผนโครงสร้าง ใช้สีเย็นดูเศร้าหมองและพัฒนาสู่การใช้สีที่สดใสร้อนแรง ผลงานสำคัญคือ ภาพ เกอนีแคหรือ “Quer nica”
เกอนีแค หรือ Quernica
          จอร์จ บราค ในวงการศิลปะร่วมสมัย บราคเป็นศิลปินสำคัญของลัทธิคิวบิสม์เท่าเทียมกับปิคัสโซ ผลงานสำคัญ เช่น บ้านที่เลสตัคอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเบอร์น โต๊ะนักดนตรีและแท่นสีดำอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่กรุงปารีส ฯลฯ
บ้านที่เลสตัค
4. Abstractionism
          Abstractionism ให้ความสำคัญเรื่องรูปแบบศิลปะหรือปรากฏการณ์ อันเกิดจากการผสานรวมตัวกันของทัศนธาตุ ( เส้น สี แสงเงา รูปร่าง ลักษณะผิว ) โดยไม่คำนึงถึงเนื้อหาศิลปะ
จำแนกออกเป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ คือ
1.) ศิลปะนามธรรมแบบโรแมนติค สร้างผลงานที่แสดงอารมณ์อย่างเสรี อิสระ
2.) ศิลปะนามธรรมแบบคลาสสิค สร้างงานที่มีระบบกฎเกณฑ์ ใช้รูปทรงเรขาคณิต
ศิลปินและผลงาน
          แจคสัน พอลลอค(Jackson Pollock) ฉายาคือ Action Painting สร้างงานด้วยการสาด สลัด ราด ด้วยลีลาว่องไว
Autumn Rhythm By Jackson Pollock
5. Futurism
          สร้างผลงานแสดงชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่ไม่หยุดนิ่ง อันเป็นผลจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
ศิลปินและผลงาน
          บอคโซนี (Boccioni) เป็นจิตรกรและประติมากร เกิดที่เมืองเรคจิโอ แคว้นคาลาเบรีย อิตาลี ผลงาน เช่น ภาพ เมืองเติบโต
เมืองเติบโต
          จิอาโคโม บอลลา (Chiacomo Balla) จิตรกรชาวอิตาเลียนคนสำคัญ มีบทบาทสร้างสรรค์งานแบบฟิวเจอร์ริสม์มากและยาวนานที่สุด
Dog On A Leash By Chiacomo Balla


อ้างอิงจาก
เอกสารประกอบการสอน วิชา HT325 ศิลปะตะวันตกเพื่อการนำเที่ยว โดย อ.พิทยะ ศรีวัฒนสาร

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ศิลปะโรโคโค (Rococo)

ศิลปะโรโคโค (Rococo)
          ศิลปะโรโคโค (ภาษาอังกฤษ:Rococo) หรือบางครั้งก็เรียกกันว่า "ศิลปะแบบหลุยส์ที่ 14" (Louis XIV Style) ศิลปะโรโกโกเริ่มพัฒนามาจากศิลปะฝรั่งเศส และการตกแต่งภายในเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 ห้องที่ออกแบบแบบโรโกโกจะเป็นเอกภาพ คือทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ไม่ว่าจะเป็นผนัง เฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องประดับ จะออกแบบเพื่อให้กลมกลืนกันอันหนึ่งอันเดียวกันมิใช่จะอิสระต่อกัน คือไม่มีสิ่งใดในห้องนั้นที่นอกแบบออกมา
          ภายในห้องจะมีเฟอร์นิเจอร์ที่หรูหราและอลังการ รูปปั้นเล็กๆแบบประดิษฐ์ประดอย ภาพเขียนหรือกระจกก็จะเป็นกรอบลวดลาย และพรมแขวนผนัง (tapestry) ที่ถ้าแยกอะไรออกมาก็จะทำให้ห้องนั้นไม่สมบูรณ์แบบ ศิลปะโรโคโคมาแทนด้วยสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิค
          คำว่าโรโคโคมาจากคำสองคำผสมกัน คำว่า rocaille จากภาษาฝรั่งเศส ซึงหมายถึงศิลปะการตกแต่งที่ใช้ลวดลายคล้ายหอยหรือใบไม้ และคำว่า barocco จากภาษาอิตาลี หรือที่เรียกว่า ศิลปะบาโรก ศิลปินโรโคโคจะนิยมเล่นเส้นโค้งตัวซีและตัวเอส (S และ C curves) แบบเปลือกหอย หรือการม้วนตัวของใบไม้ เป็นหลัก และจะเน้นการตกแต่งประดิษฐ์ประดอย จนทำให้นักวิจารณ์ศิลปะค่อนว่าเป็นศิลปะของความฟุ้งเฟ้อและเป็นเพียงศิลปะสมัยนิยมเท่านั้น
          คำว่าโรโคโคเมื่อเริ่มใช้เป็นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1836 เป็นภาษาพูดที่หมายความว่า โบราณล้าสมัย แต่พอมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 คำนี้ก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปโดยนักประวัติศาสตร์ศิลปะ ถึงจะมีการถกเถียงกันถึงความสำคัญของศิลปะลักษณะนี้ โรโคโคก็ยังถือกันว่าเป็นสมัยของศิลปะที่มีความสำคัญสมัยหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก
สถาปัตยกรรม
          ได้รับอิทธิพลจากศิลปะบารอค จุดเด่นก็คือ ความละเอียดหรูหรา การใช้เส้นโค้ง และรูปทรงที่โค้งฉวัดเฉวียน ให้ความนุ่มนวลอ่อนหวาน บอบบาง
ด้านศิลปะประยุกต์
          การตกแต่งภายใน การออกแบบเครื่องเรือน เครื่องมือ เครื่องใช้ มีรูปทรงบอบบาง ประดับลวดลายเป็นเส้นคดเคี้ยวคล้ายหยดน้ำหรือขมวดคล้ายก้นหอย
จิตรกรรม
          สมัยโรโกโก ภาพทิวทัศน์ มีการให้แสงที่นุ่มนวล บรรยากาศคล้ายความฝัน ภาพหญิงสาว จะมีผิวขาวอมชมพู เรื่องราวเกี่ยวกับเทพนิยาย งานรื่นเริงที่บรรยากาศหรูหรา ภาพหญิงสาวจะมีอารมณ์ร่าเริง
ประติมากรรม
          ในสมัยโรโกโก จุดเด่น คือ ความละเอียดประณีต ร่างกายคนมีลักษณะ บอบบางนุ่มนวล แสดงความเคลื่อนไหวอย่างอ่อนช้อยคล้ายกับจิตรกรรม
          โดยภาพรวมแล้ว ศิลปะบารอค และ ศิลปะโรโคโค เป็นศิลปะที่แสดงลักษณะ หรูหราฟุ้งเฟ้อของสังคมศักดินา ในยุโรป อันเป็นยุคก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงปฏิวัติ ไปสู่ระบอบประชาธิปไตย และเปลี่ยนแปลงแนวทางศิลปะใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นตามมา

อ้างอิงจาก

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ศิลปะแบบบารอค (Baroque)

ศิลปะแบบบารอค (Baroque)
          เป็นศิลปะที่พัฒนามาจากศิลปะแบบเรเนสซองส์ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-18 มีลักษณะเฉพาะ คือ การแสดงออกถึงความมีอิสรภาพของมนุษย์ตามแนวความคิดมนุษยนิยม ( Humanism) ผลงานที่ปรากฏ มักแสดงออกถึงลักษณะแน่นอนตายตัวของศิลปิน
          ศิลปะบารอคมีศูนย์กลางอยู่ที่โรม คำว่าบารอค (Baroque) เป็นภาษาฝรั่งเศส ตรงกับคำว่า Barocco ในภาษาอิตาเลียน หมายถึง รูปร่างที่ผิดปกติ (Irregularly Shaped)ไม่ถูกต้อง ตามระเบียบไม่สม่ำเสมอ ตามปกติเป็นคำที่ใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ ในเชิงดูหมิ่นดูแคลน ต่อสิ่งที่หรูหรา ฟุ้งเฟ้อจนเกินความพอดี ถ้านำมาใช้กับศิลปยุคนี้ก็หมายถึง ศิลปะที่มีความ หรูหรา มีการประดับประดาอย่างมากจนเกินพอดี ทั้งนี้มาจากความเชื่อของการสร้างศิลปะ สมัยนี้ว่า ความฟุ่มเฟือยคือความสง่างาม นอกจากนี้ยังเชื่อในจินตนาการ ความเพ้อฝัน ของมนุษย์ โดยให้ความสำคัญของมนุษย์และรูปแบบที่สลับซับซ้อน ในธรรมชาติ โดยสะท้อนสิ่งเหล่านี้ ปรากฏในงานศิลปะ
          ศิลปะแบบบารอค เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐต่างๆ ในยุโรปมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและมีความมั่งคั่งทางการเมือง เป็นผลให้พระราชวงศ์ ขุนนาง และพ่อค้ามีความพร้อมที่จะอุปถัมภ์การสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินแขนงต่างๆ ได้อย่างเต็มที่

งานสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมแบบบารอค
จิตรกรรม
          ส่วนใหญ่ยังคงรับรูปแบบและเทคนิคจากสมัยเรเนสซองส์ แต่ได้พัฒนาฝีมือและเทคนิคการผสมสีที่วิจิตงดงามยิ่งขึ้น นิยมใช้สีสดและฉูดฉาด ภาพวาดมักปรากฏตามวัด วัง และคฤหาสน์ของชนชั้นกลางผู้มั่งคั่ง แสดงชีวิตความเป็นอยู่ที่หรูหราสุขสบายของเจ้านายและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา
สถาปัตยกรรม
          แสดงออกถึงความใหญ่โตหรูหรา และการประดับประดาที่ฟุ่มเฟือย โดยนำความรู้ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มาใช้งานก่อสร้างมากขึ้น ผลงานชิ้นสำคัญของศิลปะแบบบารอค คือ พระราชวังแวร์ซายส์ ( Versailles ) ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส

ศิลปะด้านดนตรี
          มีการพัฒนาไปมากทั้งการร้องและการบรรเลงเครื่องดนตรี ขนาดของวงดนตรีขยายใหญ่ จากแบบ Chamber Music ที่ใช้ผู้เล่นไม่กี่คน มาเป็นแบบ Orchestra ที่ใช้ผู้เล่นและเครื่องดนตรีจำนวนมาก มีการแต่งเพลงและใช้โน้ตเพลง และเปิดการแสดงดนตรีในห้องโถงใหญ่ๆ นักดนตรีสำคัญ คือ โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach) ชาวเยอรมัน ซึ่งแต่งเพลงทางด้านศาสนาเป็นส่วนใหญ่
วรรณกรรม
          ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณกรรมยุโรป มีผลงานชิ้นเอกของนักประพันธ์ชาวอังกฤษและฝรั่งเศสเกิดขึ้นมากมาย ที่เด่นคือ งานเขียนทางปรัชญาการเมืองของ จอห์น ลอค ( John Lock) และผลงานของนักเขียนบทละครเสียดสีสังคมชั้นสูง ชื่อ โมลิแอร์ ( Moliere) เป็นต้น

อ้างอิงจาก

ศิลปะเรอเนสซองซ์ Renaissance Art

ศิลปะเรอเนสซองซ์ Renaissance Art (พ.ศ. 1940 - 2140)
          คำว่า "เรอเนสซองซ์" หมายถึง การเกิดใหม่ (Rebirth) ซึ่งเป็นการระลึกถึงศิลปะกรีกและโรมันในอดีต ซึ่งเคยรุ่งเรืองให้กลับมาอีก ศิลปะเรอเนสซองซ์ไม่ใช่การลอกเลียนแบบจากอดีต แต่เป็นยุคสมัยแห่งการเน้นความสำคัญของลักษณะเฉพาะบุคคล มีความสนใจลักษณะภายนอกของมนุษย์ และ ธรรมชาติ เป็นแบบที่มีเหตุผลทางศีลธรรม ก่อให้เกิดความกระตือรือร้นในการค้นหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ และวิทยาการแขนงต่าง ๆ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น "ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา"
          เรอเนสซองซ์ กำเนิดในอิตาลี ทั้งนี้เพราะชนชาติอิตาเลียนในยุคนั้นสำนึกว่า ตนเป็นผู้สืบทอดอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ ของกรีกและโรมันโบราณ และพากันรังเกียจศิลปะยุคโกธิค ซึ่งเป็นศิลปะของะชาว Goth ที่แพร่หลายในยุโรปขณะนั้น พวกเขาถือว่าพวกนี้เป็นพวกป่าเถื่อน เพราะชาว Goth เป็นผู้มารุกรานอาณาจักรโรมันจนล่มสลายลง จึงมีแนวคิดที่จะฟื้นฟูศิลปะกรีกและโรมัน ขึ้นมาใหม่ จึงเกิดเป็นศิลปะเรอเนสซองซ์ขึ้น
          ผู้ที่มีบทบาทในสังคมสมัยนี้ นอกจากผู้นำทางศาสนาที่ยังมีอิทธิพลต่อเนื่องมาจากยุคก่อน และฝ่ายผู้นำทางด้านการปกครองแล้ว กลุ่มพ่อค้าซึ่งกำลังเติบโตก็นับว่ามีบทบาทกำหนดการ เปลี่ยนแปลงของศิลปกรรมอยู่ไม่น้อย จึงทำให้มีศิลปินที่เคยสังกัดอยู่กับผู้มีอำนาจทางศาสนา และชนชั้นปกครอง ก็ได้มาอยู่ในความอุปถัมภ์ค้ำชูจากตระกูลพ่อค้า หรือผู้มีฐานะชั้นสูง ในสังคม เช่น ตระกูลเมดิซี่ (Medici) ในเมืองฟลอเรนซ์ทางเหนือของอิตาลี แต่อิทธิพลในการสร้างงานศิลปะ ยังมาจากความเชื่อทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ แต่ศิลปินเริ่มมีบทบาท ในการกำหนด ลักษณะและรูปแบบในการสร้างสรรค์งานมากขึ้น
ศิลปะเรอเนสซองซ์ แบ่งออกตามสมัยและแหล่งกำเนิด ดังต่อไปนี้
1.ศิลปะยุคก่อนเรอเนสซองซ์ ในอิตาลี (Italian Pre- Renaissance Art) : ผลงานทางศิลปะที่สำคัญ เช่น Madonna Enthroned" โดย Giotto,1310 AD.
2.ศิลปะเรอเนสซองซ์ยุคแรก (Early Renaissance Art)
          เป็นยุคที่ศิลปินได้เข้ามาอยู่ในความอุปถัมภ์ของผู้มีฐานะทางสังคม ทั้งการปกครอง การค้า ศาสนา ในยุคนี้เมืองฟลอเร้นซ์ เป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญในทุกด้าน โดยเฉพาะทางศิลปะ เมืองฟลอเร้นซ์ ถือว่าเป็นศูนย์กลางของศิลปะเรอเนสซองซ์ จนมีชื่อเรียกว่า "New Athens" เปรียบเหมือน เมืองเอเธนส์ของกรีก เมืองฟลอเร้นซ์ มีตระกูลที่ให้ความอุปถัมภ์แก่ศิลปะที่สำคัญคือ ตระกูลเมดิซี่ (Medici)
ผลงานทางศิลปะที่สำคัญ เช่น Holy Trinity",1425 AD.จิตรกรรมฝาผนังสีปูนเปียก (Fresco) โดย มาแซคซิโอ (Masaccio)
3.ศิลปะเรอเนสซองซ์ยุคทอง (High Renaissance Art)
          เป็นยุคที่ศิลปะเรอเนสซองซ์เจริญสูงสุด โดยเฉพาะในอิตาลี ลักษณะเด่นของจิตรกรรมสมัยนี้คือ การใช้ค่าน้ำหนักแสงเงาอย่างจริงจัง ทำให้มีความลึกเป็น 3 มิติ ซึ่งจิตรกรเรเนสซองซ์ในอิตาลี มีความเชี่ยวชาญมาก
ผลงานทางศิลปะที่สำคัญ เช่น Mona Lisa" ,1503-6 AD. โดย Leonardo da Vinci
 
          กล่าวโดยสรุปแล้วลักษณะความงามของศิลปะสมัยฟื้นฟู ยังความมุ่งยึดถือกฎเกณฑ์การจัดภาพ เน้นเรื่องความสมดุล การจัดองค์ประกอบบุคคลสำคัญอยู่ในตำแหน่งที่เด่นของภาพ รู้จักพัฒนาวิธีการทัศนียภาพ (Perspective) มาแก้ปัญหามิติของภาพ ส่วนทางด้านเนื้อหานั้น มุ่งเน้น เรื่องราวของพระเจ้า ผู้มีอำนาจในสังคม และสนองความต้องการของชนชั้น ที่มีฐานะร่ำรวยเป็นต้น

อ้างอิงจาก